สถาบันหลักคำสอนพระคัมภีร์
สำหรับผู้ที่สอนใจในพระคำของพระเจ้า
บทเรียนพระคัมภีร์สำหรับเยาวชน
"ปฐมกาล" (บทเรียน 13-14)
บทที่ 13
พระเจ้าช่วยคนบาปอย่างไร
หัวข้อเรื่อง : การช่วยให้รอด
คำศัพท์ : การตรึงที่ไม้กางเขน พระบิดา พระวิญญาณบริสุทธิ์ พระบุตร พระคุณ
ข้อพระคัมภีร์ : “พระเยซูคริสต์ได้เสด็จมาในโลก เพื่อจะให้คนบาปได้รับความรอด”
(1 ทิโมธี 1:15ข)
บทความ : มนุษย์ทุกคนเกิดมาโดยตายฝ่ายวิญญาณ คนที่ตายฝ่ายวิญญาณไม่สามารถแก้ไขปัญหาเรื่องบาปได้เลย มีแต่พระเจ้าเท่านั้นที่สามารถแก้ปัญหาเรื่องบาปของเราได้
วันหนึ่ง ประมาณสองพันปีที่แล้ว องค์พระเยซูคริสต์ทรงจากสวรรค์อันสวยงามและมายังโลก ทูตสวรรค์ของพระเจ้าได้แจ้งข่าวดีให้กับคนเลี้ยงแกะกลุ่มหนึ่ง พวกเขารักพระเจ้ามากและรอคอยวันที่พระผู้ช่วยให้รอดจะเสด็จจากสวรรค์ตามที่ผู้เผยพระวจนะ (เช่น โมเสส) ได้บันทึกไว้ในพระคัมภีร์เดิม ในค่ำคืนนั้น ขณะที่พวกเขากำลังเฝ้าแกะอยู่ใกล้เมืองเบธเลเฮม (ในประเทศอิสราเอล) ทูตสวรรค์ได้ปรากฏแก่พวกเขา แล้วเชิญพวกเขาให้ไปเข้าเฝ้าพระกุมาร
คนเลี้ยงแกะจึงได้พากันไปโดยเร็วเพื่อจะเห็นทารกที่น่าอัศจรรย์นั้น จากภายนอก พระองค์ดูไม่แตกต่างไปจากทารกอื่นๆ แต่พวกเขาก็รู้ว่านี่คือพระเยซูคริสต์เจ้า ผู้ซึ่งผู้เผยพระวจนะของพระเจ้าได้กล่าวถึงมานานนับหลายพันปี พวกเขารู้ว่าพระคำของพระเจ้าเป็นความจริงเสมอ และพวกเขาก็รู้ว่าพระบุตรของพระเจ้าเสด็จมายังโลกแล้ว เพื่อช่วยพวกเขาให้รอดพ้นจากความบาป
พระเยซูอาจมองดูเหมือนเด็กทารกที่แข็งแรงดีทั่วๆไป แต่พระองค์ทรงเป็นทารกที่พิเศษกว่าใครทั้งหมด มารดาของพระเยซูคริสต์คือนางมารี ซึ่งตอนนั้นยังเป็นผู้หญิงบริสุทธิ์ (หญิงพรหมจารีย์) บิดาของพระองค์คือพระเจ้า ดังนั้น พระเยซูทรงบังเกิดโดยปราศจากธรรมชาติบาปและบาปดั้งเดิมของอาดัม พระองค์ทรงบังเกิดมาพร้อมกับร่างกาย จิตใจ และวิญญาณของมนุษย์ นั่นหมายความว่า พระองค์ทรงเป็นผู้เดียวที่บังเกิดมาพร้อมกับวิญญาณของมนุษย์
พระเยซูเติบโตขึ้นตามอายุจนกระทั่งทรงเป็นหนุ่ม ตลอดชีวิตของพระองค์ไม่เคยทำบาป ไม่เคยไม่เชื่อฟัง หรือพูดโกหก พระองค์ไม่เคยคิดร้ายหรือพูดสิ่งไม่ดี พระองค์ไม่เคยทำสิ่งใดผิด
“พระองค์ได้ทรงปรากฏเพื่อนำบาปทั้งหลายของเราไปเสีย และบาปในพระองค์ไม่มีเลย” (1 ยอห์น 3:5)
ในฐานะเป็นพระเจ้าที่ทรงสมบูรณ์แบบและทรงเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์แบบ พระเยซูคริสต์ทรงเป็นคนกลางระหว่างพระเจ้ากับมนุษย์ เป็นผู้เดียวที่เหมาะสมที่จะรับการพิพากษาลงโทษแทนเรา เพื่อให้เราได้พ้นการลงโทษบาปจากพระเจ้า
เมื่อพระเยซูคริสต์มีอายุ 33 ปี มีกลุ่มคนที่มีอิทธิพลมาก ที่เกลียดชังและอิจฉาพระเยซู สั่งให้ทหารมาจับกุมพระองค์ พวกเขาไม่เชื่อว่าพระองค์ทรงเป็นพระบุตรของพระเจ้า จึงกล่าวหาว่าพระเยซูได้หมิ่นประมาทพระเจ้า! พวกเขาสั่งให้ทหารทรมานพระองค์ แล้วนำพระองค์ไปที่ภูเขานอกเมืองเพื่อตรึงพระองค์ไว้บนไม้กางเขน อันเป็นวิธีการลงโทษของสมัยนั้น
ในวันนั้น ตั้งแต่เวลาเที่ยงวันถึงบ่ายสามโมง พระบิดาทรงปกคลุมพระบุตรด้วยเมฆดำ เพื่อไม่ให้ใครเห็นความเจ็บปวดของพระเยซู แล้วทรงใส่บาปของเราไว้ที่พระกายของพระองค์และพิพากษาลงโทษบาปทุกประการในประวัติศาสต์จนหมดสิ้น
“พระองค์เองได้ทรงรับแบกบาปของเราไว้ในพระกายของพระองค์” (1 เปโตร 2:24ก)
“และพระองค์ทรงเป็นผู้ลบล้างพระอาชญาที่ตกกับเราทั้งหลายเพราะบาปของเรา และไม่ใช่แต่
บาปของเรา [ผู้เชื่อ] พวกเดียว แต่บาปของมนุษย์ทั้งปวง [ผู้ที่ไม่เชื่อ] ในโลกด้วย (1 ยอห์น 2:2)
ในเวลานั้นพระบุตรไม่สามารถมีความ สัมพันธ์กับพระบิดาได้ ด้วยว่าพระเยซูกลายเป็นบาป (2 โครินธ์ 5:21) ทำให้พระบุตรถูกแยกออกจากพระบิดาเป็นชั่วคราว
“พระเจ้าของข้าพระองค์ พระเจ้าของข้าพระองค์ ไฉนทรงทอดทิ้งข้าพระองค์เสีย” (มัทธิว 27: 46)
เช่นเดียวกับที่พระเจ้าผู้บริสุทธิ์ไม่สามารถเดินไปคุยกับอาดัมและภรรยาหลัง จากที่พวกเขาได้ทำบาปฉันใด พระเจ้าพระบิดาไม่อาจตรัสตอบพระบุตรของพระองค์ได้ฉันนั้น ในขณะนี้ พระเจ้าพระบิดาได้พิพากษาพระเจ้าพระบุตร คือพระเยซูคริสต์เพราะความบาปของเรา เพื่อว่าพระเจ้าจะไม่ต้องพิพากษาลงโทษเรา
หลังจากสามชั่วโมงแห่งความทรมานที่หนักที่สุดได้ผ่านพ้นไป พระเยซูได้ประกาศว่าภารกิจการไถ่บาปของพระองค์ได้เสร็จสิ้นแล้ว โดยตรัสเสียงดังว่า “สำเร็จแล้ว!” (ยอห์น 19:30) แล้วพระองค์ได้ก้มศรีษะลง แล้วพระองค์ทรงปล่อยจิตใจ และวิญญาณของพระองค์ไปจากร่างกาย
สาวกของพระเยซูคริสต์ได้ฝังพระศพของพระองค์ไว้ในอุโมงค์ตามพิธีของชาวยิว แต่สามวันต่อมา พระเยซูคริสต์ทรงเป็นขึ้นมาใหม่ พระองค์ทรงเป็นขึ้นจากความตาย! นี่เป็นข้อพิสูจน์ว่าพระเยซูคริสต์เองทรงเป็นพระเจ้า ทรงมีอำนาจเหนือความตาย ทรงชนะความตายนั้น และทรงประทานชีวิตนิรันดร์แก่ทุกคนที่เชื่อวางใจในพระองค์
“พระเยซูตรัสกับเขาว่า "เราเป็นทางนั้น เป็นความจริง และเป็นชีวิต
ไม่มีผู้ใดมาถึงพระบิดาได้นอกจากจะมาทางเรา” (ยอห์น 14:6)
“จงเชื่อและวางใจในพระเยซูเจ้าและท่านจะรอด” (กิจการ 16:31ข)
การประยุกต์ใช้หลักคำสอนพระคัมภีร์ :
1. ตอนนี้ ถ้าน้องได้ตัดสินใจเชื่อในพระเยซูคริสต์แล้ว น้องได้รับการช่วยเหลือและเป็นลูกของพระเจ้าแล้ว ไม่มีบาปใด หรือแม้แต่ธรรมชาติบาปของน้องเอง ที่จะกีดกันไม่ให้น้องไปอยู่กับพระเจ้าบนสวรรค์ วันหนึ่งร่างกายของน้องจะต้องตาย และน้องจะได้ไปอยู่ที่สวรรค์โดยได้รับกายใหม่ เป็นกายวิเศษซึ่งไม่รู้จักเจ็บปวดหรือตาย ไม่รู้จักหิวกระหายหรือเหน็ดเหนื่อย และที่สำคัญอีกอย่างหนึ่งคือ ไม่มีธรรมชาติบาป!
2. พระเจ้าทรงรักน้องด้วยความรักที่ไม่สิ้นสุด พระองค์จึงได้กระทำทุกสิ่งเพื่อว่าเราจะได้มีชิวิตนิรันดร์กับพระองค์บนสวรรค์ พระองค์ยังประทานพระพรมากมายสำหรับเราในเวลาที่เรายังอยู่บนโลก ซึ่งน้องจะได้เรียนรู้หากน้องได้ตั้งใจศึกษาหลักคำสอนพระคัมภีร์ต่อไป คริสเตียนทุกคนได้รับคำบัญชาจากพระเจ้าดังนี้ว่า
“จงเจริญขึ้นในพระคุณ และในความรู้ของพระเยซูคริสต์
องค์พระผู้เป็นเจ้าและพระผู้ช่วยให้รอดของเรา”
(2 เปโตร 3:18)
บทที่ 14
เพราะเหตุใดเราจึงทำบาป
หัวข้อเรื่อง : ธรรมชาติบาป
คำศัพท์ : บาปดั้งเดิมของอาดัม ตั้งต้นใหม่ การทดลอง เสรีภาพในการตัดสินใจ
ข้อพระคัมภีร์ : “ถ้าเราสารภาพบาปของเรา พระองค์ทรงสัตย์ซื่อและเที่ยงธรรม ก็จะทรงโปรดยกบาปของเราและจะทรงชำระเราให้พ้นจากการอธรรมทั้งสิ้น” (1 ยอห์น 1:9)
บทความ : น้องเคยแปลกใจไหมว่าทำไมน้องถึงทำผิดบาป เช่น ไม่เชื่อฟังพ่อแม่หรือคุณครูที่โรงเรียน พูดโกหก มีอารมณ์โกรธ หรืออิจฉาเพื่อนเพราะเขามีสิ่งที่น้องไม่มี? ทำไมน้องถึงทำบาป?
อาดัมกับภรรยาเลือกที่จะไม่เชื่อฟังพระเจ้าและได้กลายเป็นคนบาปในทันที (ปฐมกาล 3:6) ก่อนหน้านั้น เขาไม่มีความต้องการที่จะทำผิดบาป แต่พวกเขาได้เปลี่ยนไปแล้ว ธรรมชาติบาปได้เข้ามาอยู่ในร่างกายของเขาตลอดชีวิตที่เหลืออยู่ และเมื่อเขามีลูก ทุกคนก็เกิดมาพร้อมกับธรรมชาติบาป (โรม 5:12)
ลองสมมุติว่า เราเอาหมูสกปรกตัวหนึ่งเข้ามาในบ้าน เราก็จะอาบน้ำขัดสีฉวีวรรณให้มัน แล้วใส่แป้ง ฉีดน้ำหอมให้ตัวมันหอม และผูกโบว์สวยๆไว้ที่คอมัน ตอนนี้ หมูนั่นก็สะอาดแล้ว ตัวหอม และดูน่ารัก แต่เป็นการเปลี่ยนแค่ภายนอก ธรรมชาติภายในตัวมันไม่ได้เปลี่ยนเลย ถ้าเราเปิดประตูบ้านทิ้งไว้ เจ้าหมูสะอาดของเราก็จะดอดออกไปนอกบ้าน และมันจะหาบ่อโคลนเพื่อไปคลุกตัว เพราะมันก็คือหมูตัวเดิมตามธรรมชาติของมัน
น้องเองก็ทำบาปเพราะธรรมชาติบาปของน้องเหมือนกัน น้องจะต้องสู้กับธรรมชาติบาปของน้องตลอดทั้งชีวิตจนกว่าจะถึงวันที่จิตใจและวิญญาณของน้องได้จากร่างกายนี้ไปอยู่กับพระเจ้า เพราะว่าธรรมชาติบาปอยู่ในทุกเซลล์ของร่างกายของน้อง สิ่งดีที่น้องอยากทำ น้องกลับไม่ทำ แต่สิ่งไม่ดีที่น้องไม่อยากทำ น้องกลับทำเป็นประจำ (โรม 7:15-19)
พระเจ้าบอกน้องไว้ในพระคัมภีร์ว่า ข้างในของเราทุกคนมีธรรมชาติบาปครอบงำอยู่ ทำให้เราไม่เป็นที่ชอบพระทัยพระเจ้า
“ด้วยว่าในตัวข้าพเจ้า คือในตัวของข้าพเจ้าไม่มีสิ่งดีประการใดอยู่เลย”
(โรม 7:18ก)
ที่ว่า “ไม่มีสิ่งดีประการใดอยู่เลย” ซึ่งอยู่ในเราก็คือธรรมชาติบาปของเรา พระเจ้าต้องการให้น้องรู้เกี่ยวกับธรรมชาติบาปของน้องเอง และพระองค์ต้องการให้น้องใช้เสรีภาพในการตัดสินใจ ให้เลือกเชื่อฟังพระเจ้า แทนที่จะตอบสนองต่อความต้องการฝ่ายเนื้อหนัง ซึ่งได้มาจากธรรมชาติบาปของน้อง
ธรรมชาติบาปถูกถ่ายทอดถึงลูกหลานของอาดัมทุกคนผ่านพันธุกรรม และอยู่ในทุกเซลล์ของร่างกายของแต่ละคนตั้งแต่เรายังเป็นตัวอ่อนอยู่ในท้องแม่ เราจึงทำอะไรกับธรรมชาติบาปของเราไม่ได้ พระบิดาจึงได้ส่งพระบุตรของพระองค์คือพระเยซูคริสต์ให้เสด็จมายังโลกและถูกตรึงที่กางเขนเพราะความบาปของเรา เพราะการนี้ เราจึงไม่ต้องเป็นทาสต่อธรรมชาติบาปอีกต่อไป
เราทั้งหลายรู้แล้วว่า ตัวเก่าของเรานั้น [คือ ร่างกายที่มีธรรมชาติบาปอยู่] ได้ถูกตรึงไว้กับพระองค์แล้ว เพื่อตัวที่บาปนั้นจะถูกทำลายให้สิ้นไป และเราจะไม่เป็นทาสของบาปอีกต่อไป (โรม 6:6)
การประยุกต์ใช้หลักคำสอนพระคัมภีร์
1. ความเข้าใจในหลักคำสอนพระคัมภีร์จะช่วยให้น้องปฏิเสธการล่อลวงจากธรรมชาติบาป เมื่อธรรมชาติบาปพยายามให้น้องเลือกกระทำผิด น้องจะสามารถนำพระคำของพระเจ้ามาใช้ เพื่อที่จะตัดสินใจให้ถูกต้องแล้วจะชนะธรรมชาติบาปได้
2. พระเจ้าได้แก้ปัญหาเรื่องความบาปของน้องเรียบร้อยแล้ว บาปที่น้องได้กระทำก่อนจะที่เชื่อในพระเยซูคริสต์ถูกยกเลิกไป ณ เวลาที่น้องได้ตัดสินใจเชื่อในพระเยซูคริสต์ ส่วนบาปที่น้องกระทำหลังจากเป็นคริสเตียนแล้ว ก็เพียงแค่สารภาพบาปนั้นต่อพระบิดา และพระเจ้าก็จะทรงยกเลิกบาปนั้น รวมถึงบาปอื่นที่เราได้ทำแต่ไม่ได้พูดถึง น้องก็จะกลับมามีสัมพันธ์กับพระเจ้าได้อีกครั้ง ขอให้น้องอ่านข้อพระคัมภีร์นี้อีกครั้งหนึ่ง :
“ถ้าเราสารภาพบาปของเรา พระองค์ทรงสัตย์ซื่อและเที่ยงธรรม ก็จะทรง
โปรดยกบาปของเรา และจะทรงชำระเราให้พ้นจากการอธรรมทั้งสิ้น”
(1 ยอห์น 1:9)
“ข้าพระองค์สารภาพบาปของข้าพระองค์ต่อพระองค์ ...แล้วพระองค์ทรง
ยกโทษความชั่วช้าแห่งความบาปของข้าพระองค์” (สดุดี 32:5)
3. ถึงน้องอาจจะลืมหรือไม่สังเกตบาปที่น้องได้ทำ หรือไม่ยอมสารภาพบาปที่ทำต่อ พระบิดา แต่น้องเป็นลูกของพระเจ้าตลอดไปเพราะความเชื่อในพระเยซูคริสต์ แต่น้องจะไม่สามารถมีสัมพันธ์กับพระเจ้าบนโลกได้ตราบใดที่น้องยังไม่ได้สารภาพบาปต่อพระเจ้า (1 ยอห์น 1:3, 5-8) อย่างไรก็ตาม ถึงแม้ว่าเราจะทำบาปจนถึงวันตาย (1 ยอห์น 1:8) แต่ พระเจ้าทรงสัญญาว่าเราไม่มีวันตกบึงไฟนรก เพราะเราเป็นหนึ่งเดียวกับพระคริสต์แล้ว
“ถ้าเรา [หมายถึง คนที่เชื่อในพระเยซูคริสต์] ไม่สัตย์ซื่อ [ทำบาป] พระองค์ก็ยังสัตย์ซื่อ
[จะไม่ทอดทิ้งลูกของพระองค์] เพราะพระองค์จะปฏิเสธพระองค์เองไม่ได้
[ผู้เชื่อทุกคนกลายเป็นหนึ่งเดียวในพระคริสต์ ณ เวลาเชื่อในพระองค์]”
(2 ทิโมธี 2:13)